เมื่อเราเหงา...จงเดินเข้าป่า(2)



            
                หลังจากที่พอได้พักฟื้นทั้งแรงกายและแรงใจได้พอสมควร  ก็ยันร่างกายกับสัมภาระที่แบกมา ลุกขึ้นยืนอีกครั้ง  มองออกไปรอบตัว เพื่อให้มันคุ้นสายตา รวมถึงการสำรวจพื้นที่บริเวณรอบ ๆ อีกครั้ง  สูดลมหายใจเข้าออก อีกที แล้วก้าวเดินไปข้างหน้าต่อ
                แต่การเดินครั้งนี้คงจะไม่ได้เพลิดเพลินเหมือนครั้งแรกตอนเข้ามา ทุกฝีก้าวเดินไปอย่างรอบคอบ สติตั้งมั่นไม่วอกแวก จดจ่อไปไว้ที่ประสาทสัมผัสหูกับตาเป็นหลัก
                เหตุการณ์ทุกอย่างในระหว่างทางมานั้นเป็นปกติไม่มีอะไรให้ตื่น เต้นตกใจ  จนในที่สุด ก็มาถึงทางแยก ให้เลี้ยวเข้าไปทางขวา ซึ่งทางเส้นนี้ ผมจำได้ดี เพราะมันเป็นเส้นทางศึกษาธรรมชาติ ที่ผมเคยพากลุ่มนักเรียนเข้ามาเดินศึกษาแล้วหลายครั้ง
                แต่ทุกครั้งที่เคยมา กับครั้งนี้ ความรู้สึกมันช่างแตกต่างกันสิ้นเชิง เพราะทุกครั้งที่เคยเข้ามาจะมากันเป็นหมู่คณะ หลายสิบคน  แต่ครั้งนี้ผม ฉายเดี่ยว
                อีกทั้งดูลักษณะภูมิประเทศแล้ว เหมือนว่าคงจะไม่มีกลุ่มคณะใดได้เข้ามาเยี่ยมชมที่นี่สักระยะหนึ่งแล้ว  เพราะดูจากบริเวณปากทางเข้า ที่ทางหน่วยงานได้ เอาแผ่นปูน มาวางไว้สำหรับเป็นทางเดิน มีหน้าขึ้นปกแซม และใบไม้ก็ปลิวทับถม เกือบจะมองไม่เห็น
                เส้นทางศึกษาธรรมชาติเส้นนี้  จะมีเส้นทางเดินเป็นวงกลม ระยะทางถ้าจำไม่ผิดประมาณ 2-3 กิโลเมตร มีทางเข้าอย่าสองฝั่ง คือฝั่งซ้ายและฝั่งขวา แต่ไม่ว่าจะเข้าทางไหน เส้นทางมันก็จะพาออกมา ณ บริเวณนี้อยู่ดี ผมจึงตัดสินใจเดินเข้าทางซ้ายมือ เพราะว่าในช่วงทางเข้ามันมีแผ่นซีเมนต์ ปูรองเป็นทางเดินไว้  ซึ่งเดินสะดวกกว่า  แต่มันก็มีอยู่ไม่ไกลนักหรอก
                สภาพป่าสองข้างทาง ก็ไม่ได้น่ากลัวนัก  เป็นป่าเต็งรัง ที่ค่อนข้างโล่ง มองได้สบายตาเพราะลักษณะของป่าประเภท นี้จะมีลักษณะโปร่ง  และมีทุ่งหญ้าแซม อีกทั้งช่วงนี้ มันเป็นฤดูแล้ว ต้นไม้เริ่มผลัดใบ จึงทำให้มองเห็นท้องฟ้า มันทำให้ดูโปร่ง ๆ ไม่อึมครึม ก็ทำให้สบายใจไปได้บ้าง
                เสียงนกหัวขวาน โขก โป๊ก ๆ ก็ดังขึ้นมาเป็นระยะ ๆ  มันก็ทำให้อดใจไม่ได้ที่จะลองแวะเข้าไป ดูให้เห็นตัวมัน  แต่ผมต้องขอบอกก่อนนะครับ ทุกครั้งที่ผมเดินเข้าป่า ผมจะให้ความเคารพเขาเสมอ  ผมจะไม่ทำตัวบุ่มบ่ามให้สัตว์มันตกใจโดยตั้งใจ  และจะไม่เข้าไปใกล้มันเกินจำเป็น  บางครั้งเพียงแค่มองเห็นตัวไกล ๆ ได้มองพฤติกรรมมันห่าง ๆ แค่นี้ก็พอแล้ว                แต่บางครั้งเราก็ไม่รู้ตัว ทำให้สัตว์มันตื่นและเกือบเป็นอันตรายต่อเรา เช่นกัน
                เมื่อผมเดินมาได้ระยะหนึ่ง หมดเส้นทาง แผ่นปูนซีเมนซ์  สภาพป่าเริ่มเปลี่ยน  จากป่าเต็งรัง ที่มีสภาพโปร่ง ๆ เริ่มเข้าสู่พื้นที่ของป่า ดิบ เริ่มมี กอไผ่ และไม้สูง ขึ้นมาปกคลุม ท้องฟ้า  แสงแดด ยามเที่ยง ที่เคยจ้า เริ่มสลัวลง  ป่าล่าง ที่เคยมีทุ่งหญ้า เหลือง เริ่มเปลี่ยนเป็นต้นหวาย ที่เลื้อยก้านของมันระเกะ ระกะ  เส้นทางเริ่มแคบลง  เสียงนกที่เคยโขกต้นไม้ เงียบหายไป
                ทุกอย่างมันเงียบลงจริง ๆ เสียงลมหายใจ ยังดังกว่าเสียงลม ที่พัดใบไม้  เสียงเสื้อผ้าของเราที่เสียดสีกัน มันพอทำให้เรารู้สึกว่าตัวเรากำลังเคลื่อนไหว
                เรื่องเล่าชวนขนหัวลุกต่าง ๆ นานา ที่เคยถูกเล่า มันผุดขึ้นมาในหัว    ใจหนึ่งอยากจะวิ่งเตลิด แต่ก็แข็งใจไว้ อีกใจก็อยากจะหันหลังกลับ  แต่อีกใจก็ว่า ข้างหน้าใกล้ถึงทางออกแล้ว  ทุกอย่างในหัวมันค่อนข้างสับสน หลายคนคงอาจจะคิดว่าผมกลัวมากไปหรือเปล่า  ก็ขอยอมรับว่ามันกลัวจริง ๆ กับการยืนอยู่กลางป่า อย่างโดด เดี่ยว
                ผมเดินไปเรื่อย ๆ โดยไม่ได้หวังจะแวะหรือไปที่ไหนต่อแล้ว  หวังอย่างเดียวคือให้เห็นทางออกก็พอ  มองไปข้างหน้า ไม่ไกล เห็นเป็นป่าไผ่  และมีต้นไทร สูงใหญ่ ยืนต้นอยู่ต้นหนึ่ง  ในความรู้สึกของผมมันบอกว่า รู้สึก คุ้น ๆ เหมือนว่าใกล้จะถึงทางออกเข้าทุกทีแล้ว  ผมจึงสาวท้ายาวรุดหน้าไปให้ถึงที่นั่นให้เร็วที่สุด (แต่ใจก็ไม่กล้าที่จะวิ่ง)
                พอเริ่มเข้าใกล้ต้นไทรต้นนั้น  ผมก็ต้องสะดุ้งอีกครั้ง  เพราะในป่าไผ่ ทางซ้ายมือ เกิดเสียงกระพือปีกดังขึ้น  และตามมาด้วยเสียง กระต๊าก ๆ ดังลั่นป่าไปหมด ป่าแตกอีกแล้ว หลังจากมันได้ส่งเสียงร้อง แล้วมันก็วิ่งเข้าป่าไป  ในใจก็กำลังสบถด่าเจ้าไก่บ้าที่บังอาจมาทำให้ตกใจ  แต่ยังด่าไม่ทันจบ  ก็เหมือนมีใคร เอาพัดขนาดใหญ่ มาพัดผ่านหัวเราวูบหนึ่ง ทางด้านขวา และ ก็ตามมาอีกวูบหนึ่งทางด้านซ้าย   วนไปวนมาอยู่อย่างนี้ ประมาณ สามรอบ ผมพยายามมอง ดูว่ามันเป็นตัวอะไร แต่ครั้งสุดท้ายที่เห็นคือ มันได้บินกลับขึ้น ไป ที่ต้นไทร
                แล้วทุกอย่างก็เงียบลง  ผมคืนสติได้อีกครั้ง จึงเงยหน้ามอง ขึ้นไป บนต้นไทร  ซึ่งสูงมาก บวกกลับในพื้นที่ที่ผมอยู่ แสงค่อนข้างน้อย แล้วมองขึ้นมันเป็นท้องฟ้าที่สว่างกว่า จึงมองไม่ชัดว่าเป็นอะไร  รู้แต่ว่ามันเป็นนก เกาะอยู่ใกล้ ๆ กัน เท่าที่เห็นก็ประมาณ 3 ตัว ผมจึงชูกล้องขึ้นถ่ายรูปไว้ ซึ่ง มันก็ไม่ได้ทำให้มองเห็นว่าเป็นตัวอะไร  ด้วยสภาพแสงที่ ไม่อำนวย และระยะเลนส์ที่ค่อนข้างสั้น
                ในใจก็เสียดาย แต่ก็ช่างเถอะ วันนี้ผมเหนื่อยและตื่นเต้นมามากพอดูแล้ว รีบออกจากตรงนี้ให้เร็วที่สุด  ผมจึงเร่งก้าวเท้ายาวและเร็ว มีหยุดชะงักบ้าง เมื่อมีเสียงสัตว์เคลื่อนไหวข้างทาง แต่พอมองว่าไม่มี อะไรมากก็เดินหน้าต่อ  อีกไกลพอสมควร
พอเดินออกมายังพื้นที่บริเวณบ้านพักเจ้าหน้าที่ แวะกินก๋วยเตี๋ยวที่แม่บ้านเขาทำขายอยู่ในแถวบ้านพัก นั้นทักทายและพูดคุยกับคนรู้จักหน่อย  ผมก็เดินทางกลับบ้าน  พักผ่อนแล้วเอารูปลงคอมพิวเตอร์
                ซึ่งก็ไม่ได้มีภาพอะไรที่สวยที่พอดูได้เลย เพราะมันถ่ายระหว่างเดิน ไม่ได้มีการเตรียมตัวแต่อย่างใด  แต่ก็ขอดูภาพหนึ่ง ที่ยังคาใจ คือ ไอ้ตัวที่บินโฉบผมมันคือตัวอะไรกันแน่

                พอเปิดดูมันก็ยังมองยาก ผมจึงต้องปรับแสง  ให้สว่างขึ้น และครอปภาพ จึงได้เป็นภาพ ด้านล่างนี้

นกแก๊ก


ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

เจ้าจันท์ผมหอม วรรณกรรมอีกเรื่องที่น่าอ่าน

ครั้งแรกเมื่อผมไปลาว

ครั้งหนึ่งกับการ (พยายาม )เป็น....ช่างภาพสัตว์