ครั้งแรกเมื่อผมไปลาว




ครั้งแรกเมื่อผมไปลาว


เมื่อราว ๆ 4 ปีที่แล้วผมได้มีโอกาสไปทำงานที่จังหวัดเพชรบูรณ์  มันเป็นช่วงเดือนพฤศจิกายน ซึ่งก็เป็นช่วงเริ่มต้นแห่งฤดูหนาวพอดี  เป็นโอกาสอันเหมาะเลยทีเดียวที่จะได้ไปสัมผัสกับบรรยากาศแห่ง เมฆหมอกและลมหนาวได้อย่างใกล้ชิดและไม่ต้องห่วงว่าจะต้องรีบกลับ เพราะว่าผมได้อยู่ยาว อย่างต่ำ ๆ ก็คงจะหมด ฤดูหนาวนั่นแหละ

มันเป็นธรรมเนียมปฏิบัติของผมที่เมื่อไปอยู่ที่ใดแล้ว ก่อนจะทำอะไรควรสำรวจพื้นที่ที่ไปอยู่ใหม่นั้นเสียก่อน  พอไปถึงเพชรบูรณ์หาที่พักเรียบร้อย นอน.....พอเช้ามาตื่นตั้งแต่ตี 4 อาบน้ำอาบท่า ขึ้นเขาค้อเลยเป็นที่แรก ไปก็ไปอย่างสุ่ม ๆ ไปตามป้ายบอกทาง พอขึ้นเขาค้อได้ ตรงไหนวิวสวย ก็จอดแวะถ่ายรูป  ขับรถเปิดกระจกไปเรื่อย ๆ พอประมาณ 9 โมงเช้าได้ก็ไปสะดุด ที่ที่ ๆ หนึ่ง เห็นมีรถจอดอยู่หลายคันก็เลยลงจอดดูบ้าง  อ๋อ มันคือทะเลหมอกนั่นเอง เป็นครั้งแรกที่ผมได้มีโอกาสได้เห็นทะเลหมอกกับตา  มันช่างสวยงามมาก และอยากจะกระโดดลงไปแวกว่ายเล่นให้เหมือนกับทะเลสีครามแต่มันคงจะไม่ดีแน่

จากนั้นมาผมก็เริ่มงานและได้มีโอกาสรู้จักกับเพื่อนร่วมงาน ซึ่งก็เป็นคนในพื้นที่บ้างหรืออยู่มาก่อนบ้าง ในระหว่างนั้นประมาณ 2 สัปดาห์ ผมก็ถูกเหล่าบรรดาเพื่อนร่วมงานเหล่านั้น พาไปเที่ยวรู้จักสถานที่ต่าง ๆ ในจังหวัดเพชรบูรณ์และพื้นที่ใกล้เคียง จนค่อนข้างทะลุปรุโปร่งเลยทีเดียว (น่าเสียดายที่ภาพที่ถ่ายได้สูญหายไปหมด)
ผมเริ่มเสพติดการท่องเที่ยว และเริ่มศึกษาเส้นทางการท่องเที่ยวที่อื่น ๆ ในละแวกนั้นที่เราพอจะไปได้ ผมจึงได้ทราบว่า จังหวัดเพชรบูรณ์นั้นมันเป็นจุดที่เชื่อมต่อกับหลาย ๆ ภูมิภาค ทั้งกลาง เหนือ อีสาน และรวมถึง ประเทศลาวด้วย

ลมหนาวเอื่อย ๆ โชยเบา ๆ ความเหงาเข้ามาแทรก เทศกาลปีใหม่เริ่มใกล้เข้ามา ซึ่งหลายๆ คน ก็มี แผนที่จะไปเที่ยวในที่ต่าง ๆ กับครอบครัวของตน หรือบ้างก็ไปกับคนรักบ้าง แต่สำหรับคนโสดอย่างผม และไกลบ้านด้วยจะเอาอย่างไงดี ผมถามตัวเองแล้วถามตัวเองอีก กลับบ้านหรือก็ไม่อยากกลับ ในละแวกแถวนี้ก็เที่ยวแทบจะหมดแล้ว คิดไปคิดมา ก็ตัดสินใจอย่างเด็ดขาดว่า  “จะไปลาว”
ผมตั้งใจว่า การไปเที่ยวลาวครั้งนี้ ผมจะไปแบบ backpack และอยากจะไปในสถานที่ที่มันเป็นชนบทจริง ๆ  ไม่อยากไปเที่ยวแถวเมือง มันอาจจะเป็นเพราะผมชอบดูหนังเรื่อสบายดีหลวงพระบางก็เป็นได้ ผมเลยปรึกษาน้องคนหนึ่งเขาเป็นคน อ.ด่านซ้าย จังหวัดเลย เขาก็เลยแนะนำให้ไปที่ ด่านชายแดน ที่อำเภอท่าลี่ ในจังหวัดเลยก็แล้วกัน

เมื่อถึงกำหนดเวลาถ้าจำไม่ผิดน่าจะเป็นวันที่ 25 หรือ 26 ธันวาคมนี่แหละ ผมนั่งรถทัวร์สายกรุงเทพ-ภูเรือ โดยขึ้นรถจากอำเภอหล่มสัก แล้วไปถึงที่อำเภอท่าเรือ ๆ ราว  ๆ 6 โมงเช้า อากาศค่อนข้างหนาวมาก ๆ พอลงจากรถ ผมก็หาโจ๊กในตลาดภูเรือนั่นกินแล้วก็ถามแม่ค่าว่าจะไปอำเภอท่าลี่ ไปยังไง เขาก็บอกพร้อมกับชี้ไปที่รถคันนั้น

ผมเห็นรถแล้วใจหายแว๊บ !!! เพราะมันคือรถสองแถว ธรรมดา ๆ ที่ใจหายไม่ใช่เพราะผมนั่งรถสองแถวไม่ได้นะ  แต่ที่นี่มันคือ อำเภอภูเรือ ช่วงเดือนธันวา ซึ่งเป็นหน้าหนาว คงไม่ต้องบอกหรอกนะครับว่ามันยะเยือกแค่ไหน แล้วต้องนั่งรถที่ไม่ได้มีผนังกั้นบังลมให้อย่างนี้ มันจะยะเยือกแค่ไหน แต่ก็เอาเหอะ ไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้ว ยังไงก็ต้องไป

หลังจากฝ่าลมหนาวบนรถสองแถวจนมาถึงอำเภอท่าลี่ ผมก็ไปไม่ถูกเช่นเคย ผมจึงเดินไปถามที่วินมอเตอร์ไซต์รับจ้าง และเขาก็ขอรับเหมาไปส่ง พอไปถึงด่านที่ชายแดนเขาก็ส่งผมลงไปแล้วแนะนำว่าให้ไปติดต่อยังไง แล้วให้นามบัตรไว้ว่าถ้ากลับมาแล้วก็ให้โทรเรียกมารับ

แล้วผมก็ไปติดต่อ ทำหนังสือผ่านแดน ซึ่งเป็นแบบชั่วคราว เมื่อเรียบร้อยก็เข้าสู่แดนลาว  ผมก็รู้สึกหวั่นใจเล็กน้อยเพราะ พื้นที่ตรงนี้มันไม่มีอะไรเลยจริง ๆ บนถนนก็มีเพียงรถคล้าย ๆ รถตุ๊ก ๆ วิ่งผ่านไปผ่านมา มันเงียบมากไม่มีบ้านเรือน มีเพียงแผงขายของฝากที่ก็ไม่ได้ใหญ่อะไรมาก ผมก็เดินชมสินค้าก็ไม่ได้สนใจอะไร แล้วผมก็เดินออกมาแล้วไปตามทางเรื่อย ๆ โดยหวังว่าข้างหน้าคงจะมีหมู่บ้านคนให้เที่ยวชมบ้าง

สักพักก็มีตำรวจของทางลาวจอดรถมาที่ผม แล้วถามผมด้วยภาษาลาว ว่าจะไปไหน ผมก็ตอบว่า จะเดินดูอะไรไปเรื่อย ๆ ระหว่างทาง  เขาไม่อนุญาตให้เดินครับ เขาเข้มงวดมาก เขาบอกว่าให้นั่งรถเช่าไปอย่างเดียว ผมรู้สึกผิดหวัง และก็คิดว่ามาลาวครั้งนี้คงไม่สนุกเหมือนที่คิดไว้แล้ว จึงตัดสินใจเดินทางกลับ

เมื่อข้ามมาฝั่งประเทศไทย ผมก็โทรศัพท์เรียกวินมอเตอร์ไซต์ให้มารับ เมื่อเขามาถึงเขาก็ถามว่าทำมากลับเร็ว ผมก็เล่าเหตุการณ์ให้ฟังแล้วบอกไปว่าจริง ๆ แล้วผมต้องการจะไปเที่ยวแบบไหนอย่างไง  เขาก็เลยตอบกลับมาว่า แล้วไม่บอก ถ้าอยากไปเที่ยวอย่างนั้นเดี๋ยวพาไป

ลุงวินมอเตอร์ไซต์..ไกด์ของผม
ลุงแกค่อนข้างจะมีอายุแล้วประมาณสัก 50 กว่า ๆ ได้ เขาพาผมนั่งมอเตอร์ไซต์ไปตามทางนี่เต็มไปด้วยป่าเขา ลัดเลาะไปเรื่อย ๆ บ้านคนแทบไม่มี ถ้าเขาลวงผมไปปล่อยไว้บอกเลย ผมคงกลับไม่ถูกแน่ สักพักก็มาจอกรถที่หมู่บ้านหนึ่งซึ่งผมก็จำไม่ได้ว่ามันคือที่ไหน แล้วเขาก็ไปจอดรถที่ร้านค้าร้านหนึ่งซึ่งก็เป็นร้านค้าขายของชำทั่วไป แต่ก็คงเป็นร่านที่ใหญ่ที่สุดแล้วในหมู่บ้านนี้ ลุงเขาบอกให้ผมฝากกระเป๋าไว้ที่นี่ ไม่ต้องเอาอะไรไป เพราะทางเขาก็ไม่อนุญาตให้เอาข้ามเดินไปอยู่ดี  ผมก็เลยต้องทิ้งกระเป๋าเป้ผมไว้ที่ร้านค้า โดยหยิบกล้องถ่ายรูปติดมือมา และลุงแกก็บอกว่า กล้องถ่ายรูปเขาก็ห้ามเอาเข้าไปเพราะเขาห้ามถ่ายรูปด้วย ...หือ!!! มันขนาดนี้เลยเหรอ แล้วผมจะสนุกไหมนี่ แต่อย่างนั้นผมก็ยอมครับ ก็ติดตัวไปแค่กระเป๋าเงินและก็โทรศัพท์เก่า ๆ แบบปุ่มกดและถ่ายรูปได้  (ตอนนั้นผมค่อนข้างแอนตี้สมาร์ทโฟนครับ)
ท่าขึ้นฝั่งลาว

จากนั้นลุงเขาก็พาผมเดินไปที่ริมแม่น้ำ ชื่อว่าแม่น้ำเหียง (แต่ผมว่ามันเหมือนลำห้วยมากกว่า)  เขากวักมือเรียกเรือหางยาวรับจ้าง จากอีกฝั่งหนึ่งมา แล้วเขาก็พาผมนั่งเรือหางยาวนั้นข้ามฝั่งไป
จุดแรกที่ได้เจอคือด่านตรวจของทางฝั่งลาวครับ มันเป็นด่านเล็ก ๆ คล้าย ๆ ป้อมตำรวจในบ้านเรา มีตำรวจอยู่ 2-3 คน และเขาก็รู้จักกับลุงซึ่งเปลี่ยนมาเป็นไกด์ของผมแล้วเป็นอย่างดี  เขาก็ชวนพูดคุยทักทายอย่างง่าย ๆ ยิ้มแย้มเป็นกันเอง โดยลุงแกบอกกับทางตำรวจว่า พาหลานมาเที่ยว แต่กระนั้น ผมก็ต้องลงชื่อบันทึกผู้ผ่านทางลงในสมุดแล้วทิ้งบัตรประชาชนไว้บวกกับเงินอีก 60 บาทด้วย แต่ทุกอย่างก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร
เมื่อผ่านจากด่านมา เดินมาสักพัก ก็เจอหมู่บ้าน ซึ่งจริง ๆ มันก็ไม่ใช่หมู่บ้านมันคือเมืองหนึ่ง แต่ ความรู้สึกผมมันเหมือนกับเมืองที่เทียบกับประเทศไทยย่อนกลับไปสัก 50 ปีเห็นจะได้  มันเป็นภาพที่ตรึงตราประทับใจผมมาก ดุจดังดูภาพยนตร์ย้อนยุค อย่างไง อย่างนั้น
เมืองนี้เงียบสงบ ผู้คนยังใช้ชีวิตเรียบง่าย  ผู้เฒ่าผู้แก่ อุ้มหลานมานั่ง ผิงไฟบ้าง จับกลุ่มคุยกันบ้าง  ผู้คนอัธยาศัยดีมาก ยิ้มแย้ม เมื่อเขาเห็นผมเดินมากับลุงไกด์ บางคนก็ตะโกนถามลุงเขาด้วยความสนิทสนมว่า พาใครมา ลุงแกก็บอกเหมือนเดิมว่า พาหลานมาเที่ยว ผมบอกตรง ๆ เลยว่า ตอนนั้นผมไม่ได้รู้สึกว่าผมเป็นคนอื่นคนไกลมาเที่ยว  แต่ผมมีความรู้สึกว่าผมคือลูกหลานของคนที่นี่จริงๆ ที่ไปทำงานที่อื่นแล้วกลับมาเยี่ยมบ้านเกิด  ผมอดใจไม่ได้ที่จะแอบหยิบโทรศัพท์มือถือเก่าๆ ของผมมาแอบถ่าย ถึงแม้ว่ามันจะไม่ได้ภาพที่สวย  แต่ก็ยังดีกว่าที่จะกลับไปโดยที่ไม่มีภาพที่จะจารึกความทรงจำครั้งนี้ได้เลย

ลุงเขาก็พาผมเดินชมเมืองไปเรื่อย ๆ เขาก็ชี้ให้ดูว่า นี่คือ ศาลยุติธรรม นี่คือสถานที่ราชการต่าง ๆ แต่ที่ผมมาสะดุดสายตาที่สุดก็คือ ที่หน้าโรงเรียนนี่แหละ เห็นมีเด็กนักเรียนวิ่ง เล่นบ้าง และที่ปลื้มใจที่สุดก็มีนักเรียนคนหนึ่งค่อนข้างจะเป็นสาวแล้ว สวมชุดนักเรียนนุ่งซิ่น   ถีบจักรยานสวนทางไป  ผมหันหน้ามองตามไป แล้วยิ้ม...

นี่คือภาพความทรงจำที่ผม แอบ บันทึกมาได้ จากการไปลาวครั้งนี้

ภาพบรรยากาศบ้านเมือง

ภาพบรรยากาศบ้ายเมือง
หน้าโรงเรียน 

เพิ่มคำอธิบายภาพ




ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

เจ้าจันท์ผมหอม วรรณกรรมอีกเรื่องที่น่าอ่าน

ครั้งหนึ่งกับการ (พยายาม )เป็น....ช่างภาพสัตว์