ครั้งหนึ่งกับการ (พยายาม )เป็น....ช่างภาพสัตว์
ก่อนอี่นต้องขอบอกก่อนว่าภาพที่ผมนำมาแสดงนี้
มันเป็นภาพเดียวยังหลงเหลือจากประสบการณ์ที่กำลังจะเล่า
เพราะภาพถ่ายส่วนใหญ่ของผมมันได้สูญหายไปหมดจากการเสียหายอย่างรุนแรงของฮาร์ดดิสก์ในแบบที่ไม่สามารถจะกู้คืนกลับมาได้
และภาพนี้มันก็เป็นภาพที่ผมได้พิมพ์ไว้เพื่อจัดนิทรรศการส่วนตัว
และก็ได้ผ่านการทิ้งไว้อย่างไม่ได้ดูแลรักษานั่นเอง
มันมีช่วงหนึ่งที่ผมมีความสนใจในด้านการถ่ายภาพ
จึงได้มีการค้นคว้าหาความรู้ด้านการถ่ายภาพ โดยเริ่มตั้งแต่พื้นฐานกันเลยทีเดียวเพราะผมไม่เคยใช้กล้องถ่ายรูปมาก่อนอย่างมากก็กล้องคอมแพ็คเล็กๆสมัยกล้องฟิล์มที่ไม่ต้องใช้ทักษะอะไรมาก
แค่ส่องแล้วกดชัตเตอร์
พอเริ่มจะเข้าใจอะไรบ้างแล้ว
ว่าการเลือกกล้องต้องเลือกอย่างไหน ยี่ห้อไหนเป็นอย่างไร ใช้รูรับแสงแค่ไหน
ความเร็วชัตเตอร์เท่าไหร่ ระยะเลนส์เท่าใดและอีกมากมายที่ควรรู้เกี่ยวกับกล้อง
พอเริ่มที่จะเข้าใจอะไรบ้างแล้ว
ก็เลยไปจัดหาซื้อ DSLR พร้อมเลนส์ Kit
ติดกล้อง มาหนึ่งชุด เริ่มแรกก็หาถ่ายอะไรทั่ว ๆ ไป
ยังจับจุดไม่ได้สักที
และที่สำคัญมันก็ยังไม่สวยสักทีเมื่อนำมาเทียบกับภาพของคนอื่นเขา
ในช่วงระยะนี้เองที่ผมได้มีโอกาสเข้าไปทำกิจกรรมด้านการอนุรักษ์
ในหน่วยงานอนุรักษ์ในจังหวัดที่ผมอาศัยอยู่
และในขณะที่ผมทำกิจกรรมนั้นผมก็ได้มีโอกาสเรียนรู้เรื่องป่าไม้และสัตว์ป่า
รวมถึงได้เห็นภาพถ่ายสัตว์มากมาย อีกทั้งได้รู้จักสนิทสนมกับเจ้าหน้าที่ในหน่วยงานอนุรักษ์นั้นอีกด้วย
พอกลับมาคิด
ก็เริ่มมีความสนใจมีความสนใจในการถ่ายภาพสัตว์ป่าทันที
โดยก็เริ่มศึกษาวิธีการถ่ายภาพสัตว์ปาจากสื่อต่าง ๆ บนอินเตอร์เน็ต
และก็ได้พบกับบุคคลไอดอล ทางสายนี้และก็ติดตามผลงานของเขาตามสื่อที่ได้ถูกนำมาเผยแพร่
ซึ่งท่านผู้นี้ก็คือ ม.ล.ปริญญากร วรวรรณ
จากนั้นผมก็หาเลนส์สำหรับถ่ายภาพมาหนึ่งตัว
เป็นเลนส์มือหมุนมือสองระยะ 300 mm F 2.8พร้อม Teleconverter มาหนึ่งชุด กับขาตั้งกล้องอีกหนึ่งตัว
ที่ผมกล้าลงทุนขนาดนี้ก็เพราะผมเชื่อว่ามันจะสามารถนำมาเป็นอาชีพได้นั่นเอง
นอกจากมีอุปกรณ์ที่พร้อมแล้วสำหรับการถ่ายภาพ
จะต้องมีการเตรียมใจแลกายให้พร้อม
สำหรับการเตรียมใจนั้น
ก็เป็นการเตรียมใจสำหรับตัวเอง ว่าคุณกล้าพอหรือไม่สำหรับอันตรายจะอาจจะเกิดกับเราแบบไม่อาจจะทันตั้งตัว
เช่นการเจอสัตว์ป่าแบบกะทันหัน การหลงป่า
รวมถึงการผิดหวังที่เราอาจจะไม่ได้พบเจอกับอะไรเลย
ในป่านั้นมันมีหลายสิ่งหลายอย่างที่เราไม่อาจจะคาดเดาได้
นับว่ามันเป็นงานที่ท้าทายมาก ๆ เลยงานหนึ่ง
เมื่อเรามีใจที่พร้อมแล้วก็มาเตรียมตัวกันเลย
การเตรียมตัวนั้นก็ไม่มีอะไรมาก คือเราจะต้องมีสิ่งสังเคราะห์หรือสิ่งแปลกปลอมจากธรรมชาติติดตัวไปให้น้อยที่สุดเท่าที่จะมากได้
โดยเฉพาะอะไร อะไรที่มันส่งกลิ่น เพราะมันจะทำให้เราได้มีโอกาสพบเจอกับสัตว์ป่านั้นน้อยตามไปด้วย
นักถ่ายสัตว์ป่าแต่ละคนจะมีวิธีแตกต่างกันไป
แต่สำหรับส่วนตัวผมแล้วมีวิธีการดังนี้ครับ
1.ก่อนเข้าป่าจะไม่อาบน้ำ
หรือถ้าอาบก็จะไม่ใช้สบู่หรือยาสระผม
2.ไม่ใช้ครีมบำรุงผิว
น้ำยาดับกลิ่นรวมถึงเสื้อผ้าที่มีกลิ่นหอมของผงซักฟอกหรือน้ำยาปรับผ้านุ่ม
3.ต้องทำธุระส่วนตัวให้เสร็จทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นการขับถ่ายทั้งหนักและเบา
การทำให้ท้องอิ่มพร้อมที่จะอยู่ได้ทั้งวัน
เพราะเราไม่สามารถจะนำอาหารติดตัวเข้าไปได้สิ่งที่จะนำเข้าไปได้อย่างมากก็แค่น้ำเปล่าเท่านั้น
การเดินเท้าเข้าไปในป่าโดยลำพังนั้น
มันเป็นอะไรที่อธิบายยากเกินกว่าจะบรรยาย สิ่งที่เป็นอุปสรรคแก่ตัวเรามากที่สุดสำหรับช่วงนี้คือ
ความคิดของเรานั่นเอง มันมีหลายกระแสความคิดที่เข้ามาในหัว
ความกลัวที่เกิดจากสิ่งที่เคยได้ยินได้ฟังมันเริ่มปรากฏขึ้น
เวลาเหมือนกับหมุนไปอย่างช้า ๆ เสียงใบไม้ร่วงก็ทำให้ขาเราแข็ง หยุดเดินได้
หลายต่อหลายครั้งที่มีความคิดอยากจะเดินกลับ แต่ ฐิถิ มานะก็พยายามขับดันให้ก้าวต่อ เราต้องสลัดความคิดเหล่านั้นออกไป หรือลองคุยกับตัวเองเบา
ๆ หรือไม่ก็หยุดเดินสักพักแล้วเปลี่ยนอิริยาบถ เช่นนั่งลงสักพักเพื่อทำห้าเราชินกับสภาพแวดล้อม
แล้วทุกอย่างก็จะดีขึ้นเอง
อีกอย่างหนึ่งในระหว่างเดินป่าที่เราไม่คุ้นและไม่มีใครนำทาง
เราควรจะต้องหักต้นไม้เล็ก ๆ ไว้เป็นระยะ ๆ แล้วชี้ปลายมันไปในทิศทางที่เราผ่านมาด้วย
เพื่อกันหลงทาง ซึ่งเป็นสิ่งที่ประมาทไม่ได้เลยจริงๆ
เมื่อถึงตำแหน่งที่เราตั้งใจไว้
เราก็ต้องมองสำรวจพื้นที่รอบ ๆ สักหน่อย
ว่าเราจะต้องเข้าไปนั่งตรงไหนถึงจะเหมาะรวมถึงทิศทางของแสงด้วย
ผมชอบที่จะให้ตำแหน่งที่เราจะถ่ายอยู่ทางทิศเหนือของตัวเราเสมอ
เพื่อป้องการย้อนแสงเวลาถ่ายภาพในช่วงบ่าย ๆ
ผมไม่ชอบใช้บังไพรเวลาถ่ายภาพ
เพราะมันจะทำให้รู้สึกอึดอัดและไม่สามารถรับรู้ความเคลื่อนไวจากภายนอกได้
ผมจึงมักเลือกที่จะหาซ่อนตัวอยู่ตามพุ่มไม้ใหญ่ถ้าเป็นไปได้ก็ควรมีต้นไม้ไว้พิงด้วย
เผื่องีบสักหน่อยในช่วงรอคอย
หลังจากได้ที่และจัดตั้งอุปกรณ์ทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว
ซึ่งขึ้นตอนทุกอย่างต้องทำให้เบาและเงียบที่สุด
หลังจากนี้ต่อไปก็ไม่ต้องทำอะไรแล้วครับ นั่งรออย่างเดียว รอ รอ รอ
รอจนกว่าเขาจะออกมา
ในช่วงแรก
ๆ นั้นผมไม่เคยเจอสัตว์ป่าเลย หลายครั้งก็ท้อเหมือนกัน ถึงแม้ว่าเข้าป่าเหมือนจะไม่ได้สิ้นเปลืองอะไรแต่มันก็ต้องมีค่าใช้จ่ายในการเดินทาง
ซึ่งหลาย ๆ ครั้งมันก็หมดเอาเรื่องเหมือนกัน
พวกพี่
ๆ อนุรักษ์ก็ปลอบใจให้กำลังใจ
และบางคนก็แนะนำว่าลองยกมือไหว้บอกกล่าวเจ้าป่าเจ้าเขาดู ขอให้เขาเปิดป่าให้
นั่นแล้ว!! มันไม่พ้นเรื่องอย่างนี้จริง ๆ
แต่ผมก็บอกกับตัวเองว่า เอาก็เอาเรามาทางนี้แล้วและมันก็ไม่ได้เสียหายอะไร
และมันก็เป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อ
เมื่อผมได้ทำตามคำแนะนำนั้นแล้ว เพียงไม่กี่นาทีหลังจากผมเข้าซ่อนตัว สัตว์ป่ากลุ่มแรกก็ปรากฏตัวออกมาให้เห็น
โดยมันค่อย ๆ เดินออกมาจากป่าใหญ่เพื่ออกมากินหญ้าตรงริมห้วยซึ่งอยู่ตรงกันข้ามกับที่ผมซ่อนอยู่
มันคือ
วัวแดง ราวๆ สิบกว่าตัว ที่ค่อยๆ ทยอยเดินออกมากันทีละตัว แล้วมันก็กระจายตัวกันหากินหญ้าในบริเวณใกล้ๆ
กันนั้นเอง
ผมนั่งมองมันด้วยความตื่นเต้น
แต่ไม่กระโตกกระตาก มันช่างเป็นภาพที่สวยงามมาก สัตว์ป่าในธรรมชาติ
สีขนของมันช่างสวยกว่าสัตว์ที่เราเห็นในเมืองมาก สีมันสด เข้มข้น ดูสะอาดเป็นระเบียบ
น่ามองชม
มันเป็นคำแนะนำจากช่างภาพสัตว์ป่ามืออาชีพ
คือ เมื่อเราเห็นสัตว์ป่าออกมา เราอย่าเพิ่งไปถ่ายภาพหรือทำให้เกิดเสียงอะไรขึ้น
เราควรปล่อยให้มันได้กินอาหารสักพักหนึ่งก่อน
เพราะสัตว์ป่ากว่ามันจะได้ออกมากินอาหารนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายมันต้องเห็นว่าพื้นที่นั้นปลอดภัยเท่านั้นมันถึงออกมา
และผมก็ยึดถือท่องจำคำแนะนำนี้ตลอดมา
ผมนั่งมองดูมันมาได้สักพักแล้ว
ก็คงจะอิ่มกันสักมั่งแล้ว จึงค่อย ๆ ขยับตัวมาที่กล้องแล้วลงมือถ่าย
การกดชัตเตอร์ควรจะกดถ่ายที่ละภาพ
ไม่ควรถ่ายแบบต่อเนื่องเพราะเสียงมันจะดังและรบกวนมันมาก
จากที่ผมสังเกตเห็นทุกครั้งที่ผมกดชัตเตอร์มันมักจะหยุดกินหญ้าแล้วชูคอขึ้น
ทำท่าทางคล้าย ๆสูดดมอากาศไปรอบ ๆ เสมอ เห็นไหมว่าหูมันดีมาก
เพียงแค่เราเข้ามาก็เป็นการรบกวนเขามากพอแล้วเราอย่าไปรบกวนเขามากกว่านี้เลย
เมื่อได้ภาพตามที่ต้องการแล้วก็ควรจะกลับใช่ไหมครับ
แต่ก็ของบอกว่ายังไม่ควร
เราควรต้องรอให้มันอิ่มแล้วกลับเข้าไปในป่าก่อนแล้วเราค่อยออกมา ถามว่าทำไม
คำตอบก็คือคำตอบเดิม เราจะต้องไม่รบกวนหรือทำให้มันตกใจเด็ดขาด
ธรรมชาติมันเป็นสิ่งที่อ่อนไหว
เมื่อเราเข้าไปในสังคมเขาแล้ว เราควรให้ความเคารพเขาอย่างที่สุด
มันเป็นเวลานานมากแล้วที่ที่ผมต้องนั่งนิ่งอยู่ใต้พุ่มไม้
ต้องอดทนต่อความเมื่อยล้า มัดกัด แมลงตอม หิวก็หิว แล้วก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ว่า
ฝูงวัวแดง ฝูงนี้จะกลับเข้าป่าซักที
ในขณะที่ผมกำลังงัวเงียอยู่นั้น
ทางดด้านทิศตะวันออกของฝูงวัว ก็มีเงาดำทะมึนกำลังพุ่งตรงมาทางฝูงวัวแดงฝูงนั้น
ทำเอาฝูงวัวตกใจกันเลยทีเดียว
ไอ้เงาดำทะมึนที่ว่านี้ก็ไม่ใช่อะไร
มันคือฝูง ของหมูป่าเกินกว่า 50 ตัว ที่พาลูกเด็กเล็กแดง วิ่งมุดหน้าคุ้ยดิน
อย่างไม่สนใจไยดี ว่าจะมีใครอยู่ตรงไหน
และมันก็พาก็วิ่งกรู
กันกระจายกันทั่วบริเวณที่วัวแดงกำลังอยู่นั้น
ทางด้านวัวแดงก็คงจะรู้สึกรำคาญ
ผมหันมันมองหน้ากันเองแล้วก็ค่อย ๆ ขยับตัวหลีกห่างแล้วก็เดินเข้าไปในป่า
ด้วยความรู้สึกที่ไม่ค่อยจะสบอารมณ์นัก
ผมเห็นแล้วผมก็อดยิ้มไม่ได้
ชอบใจในความซุกซนของหมูป่า ขำให้กับการยอมจำนนของวัวแดงและยิ้มให้กับวิถีแห่งธรรมชาติ ผมจึงอดใจไม่ได้ที่จะเก็บภาพของหมูป่ากลับมาอีกจำนวนหนึ่ง
มันก็เป็นเวลาบ่ายแก่
ๆ แล้วและมันก็นานพอสมควรแล้ว
เมื่อผมเห็นฝูงวัวแดงนั้นกลับไปหมดและไอ้เจ้าฝูงหมูป่านั้นก็ตั้งหน้าตั้งตาขุดคุ้ยหากินตามพื้นดินและรากไม้
อย่างไม่สนใจอะไรต่อสิ่งรอบข้างอย่างนี้ ผมจึงค่อย ๆ ขยับตัวเก็บเครื่องมือ
แล้วกลับออกมา พร้อมกับความปลาบปลื้มใจเป็นอย่างมากที่ได้มีโอกาสเห็นวิถีชีวิตที่งดงามขนาดนี้
แม้จะไม่ใช่ทั้งหมด เพียงแค่เสี้ยวหนึ่งมันก็ยากที่จะลืม…..
ผมใช้ชีวิตในช่วงหนึ่งเป็นช่วงสั้น
ๆ เข้าออกป่าอยู่อย่างนี้ ค่อย ๆ เก็บภาพถ่ายไปเรื่อย ๆ มันก็มีความสุขดี
แต่มันยังไม่สามามารถที่จะนำมาเป็นอาชีพได้ในระยะเวลาอันใกล้
อีกทั้งสายป่านก็เริ่มหมดลง
การพยายามที่จะเป็นช่างภาพสัตว์ป่าของผม
ก็เริ่มสิ้นหวัง
สุดท้ายผมก็ต้องยอมหันหลังให้กับมัน
เพื่อไปหางานประจำที่จะสามารถตอบสนองต่อความจำเป็นในชีวิตได้ดีกว่า
และยังมีความหวังอีกว่าสักวันเมื่อทุกอย่างพร้อมแล้ว
“ผมจะกลับมา”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น