เมื่อเราเหงา...จงเดินเข้าป่า(1)


         

          
  ช่วงชีวิตในระยะหลังนี้ผมไม่ได้เข้าป่าอีกเลย แต่หันกลับมาใช้ชีวิตอยู่ในเมืองแทน ซึ่งก็ด้วยเหตุผลทางด้านปากท้องและรายได้ จึงต้องขอหันหลังให้ป่าสักพัก
           แต่ยิ่งห่างออกมาเท่าไร  จิตใจมันกลับยิ่งคะนึงหา  ยิ่งช่วงนี้เป็นช่วงฤดูแล้ง เป็นช่วงที่ป่ากำลังผลัดใบ มันทำให้ผมยิ่งคิดถึงมันยิ่งขึ้น  แต่ไม่รู้จะทำอย่างไร ก็ขอมาเล่าประสบการณ์เล็ก ๆ สำหรับการเดินป่าของผม
มันเป็นช่วงเวลาประมาณนี้ ช่วงปลาย ๆ ของฤดูหนาวเกือบย่างเข้าสูฤดูร้อน วันนั้นผมก้าวเข้าสู่เขตป่าอนุรักษ์แห่งหนึ่งซึ่งผมไม่ขอเอ่ยชื่อ เพราะมันอาจจะส่งผลกระทบกับอีกหลายฝ่าย
          ในช่วงแรก ๆ ผมก็เดินถ่ายรูปนก  รูปสัตว์เล็ก ๆ ที่วิ่งกระโจน อยู่ตามต้นไม้ แต่เดินไปเดินมามันก็ชักเพลิน เลยเดินลึกเข้าไปเรื่อย ๆ  ซึ่งก็ไม่ได้ออกนอกลู่นอกทางแต่อย่างใด  มันก็เป็นบนเส้นทาง การเดินทางของเจ้าหน้าพิทักษ์ป่าที่ใช้ในการปฏิบัติหน้าที่ ในการลาดตะเวน และขนส่งเสบียงกันนั่นแหละ ผมจึงไม่ได้กังวลถึงอันตรายใดๆ


          แต่อย่างไรก็ตาม คำว่าในป่า ไม่ว่ามันเป็นอย่างไร มันก็คือป่า บางครั้งมันอาจจะมีอะไรซ่อนอยู่โดยที่เราไม่รู้ได้
          ในขณะที่ผมกำลังเดินด้วยความสบายใจอยู่นั้น  ก็เกิดเสียงโครมคราม ราวป่าจะแตก ขึ้นรอบบริเวณ ป่าทั้งสองข้างทางและรอบตัวผม  สิ่งที่ผมเห็นคือป่าไม้โยก ไหวทั่วบริเวณ ทั้งด้านบน ตรงกลางและด้านล่าง และเห็นมีเงา มืด ๆ ทึม ๆ เคลื่อนไหว ไปมาอย่างรวดเร็ว ระรานตาเต็มไปหมด
        เท่าที่จำได้ตอนนั้น สมองผมไม่อาจสั่งการอะไรได้ มีเพียงสัญชาตญาณเท่านั้นนั้นที่สั่งการ ให้ผมต้องหยุด   โสตประสาต อื้ออึงคนไม่ได้เยินเสียงอะไร  ลมหายใจไม่รู้ว่ามันไหลเข้าออกอย่างไร แต่รู้สึกอย่างเดียวคือหัวใจสั่นอย่างแรง ตัวชา ขาชาและหน้าชา เหงื่อผุดขึ้นออกมาแทบจะทุกขุมขน
         ผมไม่รู้ว่าเวลามันผ่านไปนานเท่าไหร่  แต่คิดว่ามันไม่นานหรอก อาจจะไม่ถึงนาทีด้วยซ้ำกับเหตุการณ์นี้  แต่ความรู้สึกมันเหมือนยามนานเป็นวันเป็นปี  แต่ถึงอย่างไรก็ตาม ทุกอย่างมันก็สงบลง ทุกอย่างเงียบเหมือนเดิม สติค่อย ๆ กลับมา สัมผัสได้แล้วถึงสายลมที่พัดมาอ่อย ๆ  ผมค่อย ๆ แย้มริมฝีปากยิ้มออกมา  เริ่มหายใจหายคอโล่งอีกครั้ง
เมื่อสมองกลับมารับรู้และใช้งานได้อีกครั้ง มันจึงสั่งออกมาทางความรับรู้ว่ามันคือลิง แต่เป็นลิงชนิดไหนผมก็ไม่อาจทราบได้เพราะผมยังไม่มีความรู้ในการจำแนกชนิดของสัตว์มากนัก มันเป็นลิงป่า ฝูงใหญ่ฝูงหนึ่ง ที่กำลังแอบซ่อนตัวอยู่ในป่ารอบๆ นั้น  เมื่อเห็นผมเดินมา ในสภาพที่ทุลักทุเล เพราะแบกมาทั้งกล้อง เลนส์ และขาตั้ง มันก็คงตกใจกลัวและพากันกระโจนหนีกันออกไป
หากจะขอกล่าวถึงลิงที่นี่ มันจะแตกต่าง กับลิงที่เราเคยเห็นตามอุทยาน หรือสถานที่อื่น ๆ ที่มีคนเข้าไปเที่ยวบ่อย  ๆ ลิงพวกนั้นมักจะคุ้นเคยกับคน จึงไม่กลัวคน แถมยังแอบมาขโมย หรือ ขอขนมเรากินอีก
          แต่สำหรับลิงที่อยู่ในป่าแท้ ๆ พฤติกรรมมันจะต่างไปอย่างสิ้นเชิง  มันจะกลัวคน ซึ่งก็เหมือนกับสัตว์ประเภทอื่นๆ  ซึ่งสัญญาญาณของพวกมันจะต้องคอยระแวงระวังอันตรายอยู่ตลอดเวลา  เมื่อมีสิ่งอื่น เข้ามาใกล้ตัวมันมันก็จะวิ่งหนีแตกตื่นไปเป็นเรื่องธรรมดา  แต่ในความรู้สึกของผมมักจะเห็นว่า หากเราขับรถผ่านไป บางทีมันก็จะนิ่งเงียบเสีมากกว่า เพราะมันคงเห็นว่า เราเคลื่อนที่ค่อนข้างเร็ว และไม่ได้มีเป้าหมายไปที่ตัวมัน   แต่ครั้งนี้ผมเดินไป มันช้า แถมสายตาท่าทาง ผมก็สอดส่าย ไปมา มันจึงเกิดความระแวง และแตกตื่นไป



            ขอวกลับมาที่ตัวผมอีกครั้ง...หลักจากที่ตั้งสติได้  ยิ้มออกและหายใจคล่องอีกครั้ง  ผมก็พร้อมจะเดินหน้าต่อ  แต่....ในขณะที่กำลังจะก้าวขาออกนั้น  สายตาก็ไปเห็นอะไรบางอย่าง ห่างออกไป ประมาณ 5 ก้าวที่อยู่ใต้โคนต้น เต็ง ตัวเล็ก ประมาณลูกหมา สีน้ำตาล ทึม ๆ กลมกลืนกับใบไม้ที่กำลังร่วงทับถมกันอยู่ 
แม้ว่าสีสันมันจะทำให้แทบมองไม่เห็น แต่สายตามันมันจ้องมองมาที่ผม ทำให้เห็นมันได้อย่างชัดเจน และชัดลึกเข้าไปสู่เบื้องลึกแห่งความรู้สึกของมัน
            สายตา ที่กลมใส  มีประกายแสงสั่นคลออยู่ในเบ้าตา คล้ายดั่งมีของเหลวอยู่ข้างในมันอาจไม่คล้ายหรอก มันเป็นน้ำตา ที่คลอเบ้า ด้วยความกลัวของลูกลิง ตัวเล็ก ๆ ที่อาจจะกำลังซุกซนและ ไม่ได้อยู่ในอ้อมอกแม่ของมัน  แล้วเมื่อ พวกมันแตกฮือ จึงหนีไม่ทัน
           สายตานั้นยังจ้องมาที่ผม พร้อมน้ำตาที่คลอเบ้า ผมก็มองมันเช่นกัน  และมันก็รู้ว่าผมเห็นมันแล้ว ตัวน้อย ๆ ของมันเริ่มสั่นด้วยความกลัว สายตามมันคงพยายามเว้าวอนบอกผม ว่าอย่าทำร้ายมันเลย อย่าทำอะไรมันเลย ซึ่งมองดูน่าสังสารยิ่งนัก
แต่ในใจผมเล่าคิดอย่างไร....ผมก็คงไม่ได้แตกต่างอะไรจากมันหรอก ตัวแข็งทื่อ หน้าชาอีกครั้ง  แต่สติยังคงพอมี ในตอนนั้น ผมคิดว่า ถ้าผมขยับตัวแม้เพียงนิดเดียว มันอาจจะกระโจนเข้ามาต่อสู้ผมแน่  และผมก็ก็แน่ใจว่า ฝูงของมันก็ยังไม่ได้เตลิดไปไหนไกลหรอก  มันคงซุ่มมองไปตั้งหลักอยู่ใกล้ ๆ นี่แหละ เพียงแต่เรามองไม่เหและผมก็เชื่ออีกด้วยว่า ถ้าผมเดินก้าวไปข้างหน้าสักก้าวเดียว ผมคงโดนพวกมันรุมแน่นอน  
            ผมจึงค่อย ๆ สืบขา ก้าวไปข้างหลังอย่างช้า ๆ และเงียบที่สุดเท่าที่ทำได้  แต่สายตายังคงมองไปที่เจ้าลูกลิงอย่างไม่วางใจ      ผมก้าวออกไปได้ประมาณสองก้าว ระยะห่างระหว่างเราก็ค่อย ๆ ห่างขึ้น  และมันก็คงคิดเหมือนกันกับผม  มันก็ค่อย  ๆขยับตัวถอยหลังไป   และก็หันหลังไปกระโดด หนีไปอย่างรวดเร็ว  และมันก็คงได้เข้าฝูงไปหาแม่มันอย่างปลอดภัย
ผมก็ โล่งอก โล่งใจ หัวเราะให้กับตัวเอง แถมครั้งนี้ผมนั่งลงกับพื้นอย่างคนหมดแรง 
          จะว่าวันนี้ฤกษ์ ไม่ดีก็ไม่ใช่ แม้ไม่ได้ไปหาที่นั่งซุ่มถ่ายสัตว์ใหญ่ดังปรารถนา  แต่ก็มีเรื่องราวสนุกตื่น เต้นมาให้กระชุ่มกระชวยหัวใจ 
           ผมมองขึ้นท้องฟ้า ดูตะวัน  ลักษณะเหมือนว่ามันยังไม่เที่ยงวันนี่นา 


       อย่างนั้นแสดงว่าวันนี้ยังไม่หมด ผมขอเดินต่อไปข้างหน้าอีกหน่อยเผื่อได้เห็นอะไรดี ๆ  อีก  ผมคิดอย่างนั้น แล้วผมก็ลุกขึ้น เดินข่างหน้าต่อไป....     














ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

เจ้าจันท์ผมหอม วรรณกรรมอีกเรื่องที่น่าอ่าน

ครั้งแรกเมื่อผมไปลาว

ครั้งหนึ่งกับการ (พยายาม )เป็น....ช่างภาพสัตว์