อิ่มใจที่....ไซเบอร์

อิ่มใจที่....ไซเบอร์

                หากคุณต้องการสัมผัสกับธรรมชาติอันพิสุทธิ์ ที่จะทำให้คุณสูดลมหายใจได้เต็มปอด และอยู่ไม่ห่างจากกรุงเทพฯแล้วละก็ “น้ำตกไซเบอร์” เป็นอีกตัวเลือกหนึ่งที่คุณควรจะไป
                น้ำตกไซเบอร์ตั้งอยู่ที่ อำเภอห้วยคต จังหวัดอุทัยธานี อยู่ในความดูแลของหน่วยพิทักษ์ป่าไซเบอร์ ซึ่งเป็นหน่วยงานหนึ่งของเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง ผืนป่ามรดกโลกแห่งแรกของไทยเรา
                หลายคนอาจจะสงสัยว่า ในพื้นที่ป่าอย่างนี้ทำไมถึงมีชื่อเรียกเป็นภาษาอังกฤษ แถมยังมีความหมายออกไปทางเทคโนโลยีสมัยใหม่อะไรอย่างนี้  ซึ่งความสงสัยนี้ผมก็ได้ไปสืบหาที่มาของชื่อนี้มาให้หายสงสัยกัน
                ความจริงคำว่า “ไซเบอร์” มันเพี้ยนมาจากคำว่า “ไม้เบอร์ “ ซึ่งเป็นชื่อเรียกภาษากะเหรี่ยง ซึ่งมีที่มาจากต้นไม้ต้นหนึ่งซึ่งเป็นต้นไม้สูงใหญ่ และมักจะมีรังผึ้งชอบไปทำรังอยู่ตามกิ่งไม้ต้นนั้น และก็มีชายคนหนึ่ง แกก็มักจะชอบไปตีรังผึ้งบนต้นไม้ต้นนี้ จนบ่อย ๆ เข้าชาวบ้านแถวนั้นก็ยกสัมปทานการตีผึ้งจากต้นไม้ต้นนั้นให้เป็นของแกคนเดียว พร้อมกับให้สมญานามพื้นที่ในละแวกรอบ ๆ นั้นตามชื่อของแก คือ ไม้เบอร์  ต่อมาเวลามีการซักไซ้ ไตร่ถามกันระหว่างคนท้องถิ่นว่า”จะไปไหน “ หากใครที่จะไปบริเวณนั้นเขาก็จะบอกกันว่า “ไปไม้เบอร์” จนติดปากกัน  และพอเวลาผ่านไปนานเข้า บวกกับมีคนภายนอกเข้ามามากขึ้น คำว่า “ไม้เบอร์ จึงกลายมาเป็น  “ไซเบอร์”นั่นเอง
                มาครับ หลังจากที่ผมได้พาไปรู้จักกับที่นี่กันพอหอมปากหอมคอแล้ว ก็ถึงเวลาที่จะเข้าไปในน้ำตกกันเสียที
                การมานั้นก็ไม่ยากครับ หากออกจากกรุงเทพฯ ก็ตรงมาสุพรรณ ผ่านอำเภอดอนเจดีย์ แล้วมาตามป้ายมาที่อำเภอด่านช้าง ออกจากด่านช้างก็มาอีก 40 กิโลเมตร ก็จะเข้าเขตอำเภอบ้านไร่ แล้ววิ่งมาเรื่อยตามเส้น บ้านไร่-ลากสัก ประมาณ 30 กิโลเมตร ก็จะเห็นป้ายเข้าสู่ น้ำตกไซเบอร์
                พอเลี้ยวตามป้ายมาแล้ว ขอแนะนำให้ปิดเครื่องปรับอากาศ แล้วเลื่อนกระจกลงซะ เพื่อสูดดมกลิ่นไอของอากาศอันสดชื่น แม้ช่วงนี้จะยังไม่ใช่ป่าจริง ๆ แต่การได้มองเห็นผืนไร่ สลับกับผืนป่าโดยไม่มีกระจกกันมันจะทำให้เราได้ค่อย ๆ ซึมซับบรรยากาศไปทีละนิด ทีละนิด ประหนึ่งได้ฟังท่อน อินโทรของบทเพลงคลาสสิค

                พอถึงที่หมาย จอดรถจอดลาเสร็จเรียบร้อย ก็เดินไปที่จุดชำระเงิน จะมีค่าบริการ 20 บาทต่อท่านครับ แล้วจากนั้นก็เดินตามเส้นทางมาเรื่อย
                เพียงแค่ด่านแรกนี้ เราก็จะได้สัมผัสกับสภาพพื้นที่ป่าดิบแล้งอันอุดมสมบูรณ์แล้วครับ ข้างทางมีต้นไม้สูงใหญ่ ทั้งต้นไม้ประเภทต้นยาง ต้นไทร ต้นจาก ต้นหวาย สลับกันกับไม้ป่าอีกหลายชนิด  บางช่วงบางครั้งเราก็อาจจะได้เห็นสัตว์ป่าเล็ก ๆ เช่น กระต่ายป่ามากระโดดเหยง ๆ ต้อนรับด้วย
                เดินเท้ามาประมาณ 300 เมตร เราก็จะมาพบกับจุดพักจุดแรก บริเวณนี้ มีพื้นที่กว้างขวางให้พักผ่อน  เดินชมนกชมไม้ ได้อย่างสบาย แถมยังมีธารน้ำเย็นฉ่ำให้เรานอนแช่หรือราเท้าเล่นก็ยังได้ และบริเวณนี้ยังสามารถนอนพักกางเต๊นท์ได้อีกด้วย มีห้องน้ำ ที่อาบน้ำพร้อมครับ ติดต่อกับทางเจ้าหน้าที่ได้เลย
                ความจริงแล้ว เมื่อถึงจุดบริเวณนี้ก็เพียงพอแล้ว กับการพักผ่อนหย่อนความคิด ปูเสื่อปิกนิก เพื่อสัมผัสกับความฉ่ำชื้นของไอดินและผืนหญ้า พร้อม ๆ ไปกับสายน้ำและเสียงน้ำตกที่สาดซ่านผสมกลมเกลียวกับเสียงสายลมที่พัดใบไม้และสำเนียงเสียงป่า ให้มาลูบประโลมเยื่อโสตประสาต ที่ตรากตรำกับเสียงเครื่องยนต์และเสียงบ่นของเจ้านาย

                หากใครที่ยังไม่เหนื่อยหรือรีดเหงื่อยังไม่จุใจพอ  ก็ลุกขึ้นมา ก้าวขาขึ้นเขาอีกประมาณ 700 เมตร เป็นทางขึ้นเขาไม่สูงชันมาก เด็ก ๆ เดินได้สบาย แต่เส้นทางเดินนั้นอาจจะลำบากหน่อยนะครับ เพราะเป็นเส้นทางแคบ ๆ แนะนำให้เป็นรองเท้าผ้าใบหุ้มข้อนะครับ จะได้เดินได้สะดวกหน่อย
                สองข้างทางก็ระรานไปด้วยต้นไม้สูงใหญ่ ปกคลุมตลอดระยะทาง แทบจะไม่มีแดดทะลุลงมา ระหว่างทางก็มองเห็นธารน้ำตกตลอดสาย และยังมีบางช่วงที่เราสามารถ ลงไปเล่นน้ำเพื่อคลายเหนื่อยได้อีกด้วย
                เมื่อมาถึงจุดปลายทางของเส้นทาง  จริง ๆ แล้วน้ำตกแห่งนี้ ผู้เขียนได้มีโอกาสมาเที่ยวแล้วหลายครั้ง จึงได้ทราบว่าเส้นทางนี้มีการเปลี่ยนแปลงไป   เนื่องจากว่า เมื่อมาถึงจุดนี้แล้ว มันจะมีสะพานไม้ ให้เราเดินข้ามไป เพื่อไปสู่เส้นทางอีกฝั่งหนึ่ง แต่วันนี้มันหายไป ซึ่งคาดว่ามันอาจจะเป็นเพราะถูกน้ำซัดพังไป เพราะ ฤดูนี้เห็นฤดูน้ำหลาก         ซึ่งก็เป็นเช่นนั้นจริง ๆ เมื่อได้สอบถามกับเจ้าหน้าที่เมื่อตอนที่ผมกลับลงมาแล้ว
                และถ้าหากใครมาเจอปัญหาแบบผู้เขียนอย่างนี้แล้ว ก็ไม่ต้องตกใจไปครับ ท่านก็สามารถที่จะค่อย ๆ เดินไต่ไปตาม โขดหิน ที่เรียงรายอยู่ข้ามฝั่งไปได้ แต่อาจจะต้องเปียกเล็กน้อย เพราะบางช่วงเราต้องเดินผ่านสายน้ำไป แต่ไม่อันตรายครับ  เมื่อเดินข้ามธารน้ำตรงนี้ไปได้แล้ว ก็ไปตามเส้นทางอีกประมาณ 200 เมตร ก็จะถึง  จุดที่มีน้ำตกไหลลงมาครับ
                อีกชื่อหนึ่งอย่างเป็นทางการของน้ำตกนี้ คือ น้ำตกหินลาด ซึ่งก็ด้วยลักษณะของตัวน้ำตก ที่ไหลเป็นตามหน้าผาลาด ลงมาสู่แอ่งน้ำข้างล่าง หากใครที่มาถึงบริเวณนี้แล้ว ขอแนะนำว่า อย่าซุกซนปีนป่ายขึ้นไป ตามชั้นผานะครับ เพราะอันตรายมาก รวมถึงลงเล่นน้ำบริเวณแอ่งที่น้ำตก ตกลงมา หากอยากแช่น้ำก็ลงมาแช่บริเวณที่ต่ำลงมาซึ่งน้ำไม่ลึกมาก
                น้ำที่นี่บอกเลยว่า เย็นฉ่ำชื่นใจและมีความสะอาดใสบริสุทธิ์มาก ๆ                เพราะเป็นน้ำที่ไหลมาจากต้นน้ำของป่าห้วยขาแข้ง ผืนป่าที่ไม่มีมนุษย์เข้าไปตั้งถิ่นฐานที่พักอาศัยเลยหรืออาจเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า  “ป่าพรหมจรรย์

                ในที่สุดก็มาถึงเวลาที่จะต้องกลับแล้ว ไม่อยากให้ถึงเวลาอย่างนี้เลย แต่ก็อย่างว่า ครับ คนเรายังต้องมีหน้าที่และภารกิจด้านการงานอีกมาก  ขอเพียงมีเวลาสักเสี้ยวที่เราได้มีโอกาสได้ผ่อนคลายสิ่งดี ๆ ที่ธรรมชาติมอบไว้ อย่างนี้ ก็ถือว่าคุ้มค่าแล้ว  ไว้มีโอกาสใหม่ค่อยมาอีกก็ยังไม่สาย
                มันเหมือนว่าเรื่องราวจะจบลงแค่นี้  แต่ยังมีโบนัสพิเศษให้เห็นก่อนกลับ เมื่อผมกำลังจัดเตรียมที่จะออกรถ สายตาดันทะลึ่งมองไป บนท้องฟ้าที่ไกลออกไป ทางด้านตัวน้ำตก   ก็เห็นมีนก คู่หนึ่ง ดูคล้าย ๆ กับภาพวาดนกกระเรียนของชาวญี่ปุ่น บินเคียงคู่กันมา มักแตกต่างกับนกทั่วไป ผมจึงมองดูมันอย่างไม่ให้คลาดสายตา เหมือนมันจะบินใกล้เข้มาเรื่อย ๆ เข้ามาเรื่อยๆ และสุดท้ายมันก็มาหยุดพักที่ต้นไม้สูงต้นหนึ่ง
                พอเพิ่งมองเข้าไปจึงเห็นว่า มันคือ”นกกก” ซึ่งเป็นนกที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของบรรดานกเงือก สีเหลืองสลับดำและขาวของมันนั้น  ช่างสดและเข้ม ถึงขนาดมองที่มองเห็นได้ชัดในสายตาปกติในระยะที่อยู่ไกลขนาดนี้ มันทั้งคู่กระโดดบินไปบินมาอยู่ระหว่างกิ่งของต้นไม้นั้นอยู่พักใหญ่ นานพอที่ผมต้องยอมถอนสายออกมาก่อน
                พอแล้วครับคุ้มค่าแล้วสำหรับทริปนี้  ความภาคภูมิใจที่ไม่อาจจะลืมเลือนลงไปได้ ธรรมชาติมันมักมอบสิ่งดีๆ ให้เราเสมอครับ ของเพียงเราเคารพเขา
                สุดท้ายขอฝากไว้เลยครับว่า หากท่านต้องการที่จะหาที่พักผ่อนดี ๆ เอาไว้ฟอกปอด ระยะทางไม่ไกลมากจากกรุงเทพฯ น้ำตกไซเบอร์ เป็นอีกที่หนึ่งที่คุณควรมาได้สัมผัส
                ปล. ขอขอบคุณภาพถ่าพถ่ายจากผู้ร่วมเดินทางทุกท่าน

..........................

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

เจ้าจันท์ผมหอม วรรณกรรมอีกเรื่องที่น่าอ่าน

ครั้งแรกเมื่อผมไปลาว

ครั้งหนึ่งกับการ (พยายาม )เป็น....ช่างภาพสัตว์